เป็นผู้พิทักษ์ลูกน้อง…แต่ไม่แยแสองค์กร
หัวหน้าประเภทนี้จัดอยู่ในพวกรักลูกน้องมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่ผิดตรงที่รักลูกน้องมากจนเกิดความลำเอียง เกิดการเข้าข้างอย่างไม่ยุติธรรม โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ขององค์กร ยกตัวอย่างเช่น
– เมื่อลูกน้องทำผิดพลาดจะแก้ตัวให้ ในลักษณะ “ลูกน้องลูบหน้า หัวหน้าปะจมูก” แทนที่จะให้เขาเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น
– เมื่อได้รับคำสั่งให้ทำงานเพิ่ม ด้วยความกลัวว่าลูกน้องจะทำงานหนัก มักช่วยอ้างว่าคนนี้มีงานล้นมืออยู่แล้ว
– เมื่อถึงวาระปรับเงิน จะเสนอปรับเงินให้ทุกครั้งแม้ไม่มีผลงานเลย
– และหากคนไหนทำงานไม่ดีจะปล่อยไว้ ไม่แก้ไข แต่ไปเลือกใช้คนอื่นแทน
– แทนที่จะฝึกคนทำงานให้ทำงานเป็น ทำงานเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลับส่งเสริมให้ทำงานน้อยลง เฉื่อยชาลง แต่องค์กรต้องรับภาระมากขึ้น
ที่ผ่านมา ในระบบราชการก่อนการปฏิรูป ผู้บังคับบัญชามักไม่กล้าลงโทษข้าราชการเพราะยึดหลัก “ไม่ทุบหม้อข้าวลูกน้อง” เมื่อเห็นว่าใครทำงานไม่ดีก็ลงโทษด้วยการไม่ใช้งานแทนการให้ออกจากงาน ทำให้เกิดภาวะกำลังพลเสื่อม สิ่งนี้เป็นวัฒนธรรมการทำงานในระบบราชการที่กำลังได้รับการแก้ไข อย่างไรก็ตามคงไม่ได้แก้ไขกันง่าย ๆ เพราะเป็นระบบอุปถัมภ์แบบนี้มานานหลายรุ่นคน นับสิบปีแล้ว เราคงเห็นคนที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่งแช่อยู่ในระบบ จนกลายเป็นภาพที่เคยชินและเลียนแบบไปตาม ๆ กัน
การกระทำของหัวหน้าเท่ากับเป็นการทำลายทั้งองค์กร ตัวลูกน้อง และตัวหัวหน้าเองด้วย ในส่วนองค์กรจะเป็นองค์กรที่มีคนมากแต่ประสิทธิภาพต่ำ ส่วนคนทำงานย่อมไม่เรียนรู้ในการพัฒนาตนเอง อาจเป็นคนที่ทำงานไม่เป็น เมื่อเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาและถูกประเมินผลจริงจังอาจถูกลดตำแหน่งหรือแม้กระทั่งเชิญออก หรือเมื่อมีพนักงานใหม่ไฟแรงเข้ามา ทำงานอย่างจริงจัง รวดเร็วและทุ่มเท นั่นย่อมเป็นตัวเปรียบเทียบที่ดีว่าพนักงานเก่า ๆ ที่หัวหน้าเคยปกป้องไว้ แท้จริงแล้วเป็นพนักงานที่ไร้ประสิทธิภาพ
ส่วนตัวหัวหน้า เมื่อผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปพบความจริง ย่อมเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะเห็นว่าหัวหน้าไม่มีใจให้กับเป้าหมายขององค์กร แต่มุ่งผลประโยชน์ส่วนตน และปกป้องผลประโยชน์ของลูกน้องมากกว่า แน่นอนว่าผู้บริหารระดับสูงย่อมไม่พึงพอใจและต้องหาวิธีจัดการแน่
Dr Kriengsak Chareonwongsak
Senior Fellow, Harvard Kennedy School , Harvard University
kriengsak@kriengsak.com, kriengsak.com, drdancando.com